GrabFood เปิดเทรนด์คนไทยฮิต Snackification เกิดกระแสกินของว่างแทนมื้อหลัก

ข่าวด่วนวันนี้ (ข่าวทั่วไทย)

แวดวงอาหารในประเทศไทยกำลังเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว จากรายงาน “เจาะลึกธุรกิจและเทรนด์ร้านอาหารปี 2025” โดย GrabFood ได้เผยให้เห็นถึงเทรนด์อาหารที่น่าจับตามองในปี 2025 ซึ่งไม่เพียงแต่สะท้อนถึงรสนิยมที่เปลี่ยนไปของผู้บริโภค แต่ยังบ่งบอกถึงวิถีชีวิตและค่านิยมของคนไทยในยุคปัจจุบัน

“สาเก” ดาวรุ่งวัตถุดิบเปลี่ยนเกมในวงการอาหารไทย

ในช่วงปีที่ผ่านมา กระแส Asianization ได้แพร่กระจายไปทั่วโลก ทำให้ “สาเก” หรือเหล้าหมักข้าวสไตล์ญี่ปุ่นกลายเป็นดาวรุ่งที่วงการอาหารทั่วโลกให้ความสนใจ การผสมผสานกับความนิยมในอาหารญี่ปุ่นที่มีมาอย่างต่อเนื่องในสังคมไทย ทำให้สาเกพร้อมที่จะขึ้นแท่นเป็นไฮไลท์สำคัญของปีนี้

เทรนด์การนำสาเกมา “แพริ่ง” (Pairing) หรือจับคู่กับอาหารกำลังได้รับความนิยมมากขึ้นในร้านอาหารสไตล์แคชวลไดนิ่ง (Casual Dining) จนมีการคาดการณ์ว่าปีนี้จะได้เห็นร้านอาหารแนว Sake Bar เติบโตอย่างรวดเร็ว ไม่แพ้กระแสเนเชอรัลไวน์ (Natural Wine) ที่เคยร้อนแรงมาก่อนหน้านี้

ร้านอาหารและบาร์ที่สามารถนำเสนอประสบการณ์การดื่มสาเกในมุมมองที่แปลกใหม่ จะมีโอกาสเข้าถึงลูกค้ากลุ่ม Early Adopter ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีกำลังซื้อสูงและพร้อมจะเปิดรับสิ่งใหม่ๆ อยู่เสมอ ความท้าทายของผู้ประกอบการคือการทำให้สาเกเข้าถึงง่ายและมีภาพลักษณ์ที่ทันสมัย ไม่ใช่เพียงเครื่องดื่มที่มีไว้คู่กับอาหารญี่ปุ่นดั้งเดิมเท่านั้น

“Snackification” เทรนด์ของกินเล่นแทนมื้อหลัก

ไลฟ์สไตล์ที่เร่งรีบของคนเมืองยุคใหม่ ทำให้การรับประทานอาหารให้ครบ 3 มื้อเป็นเรื่องที่ท้าทายมากขึ้น ผู้บริโภคจำนวนมากจึงมองหาทางเลือกที่สะดวกและรวดเร็วกว่า ส่งผลให้เกิดเทรนด์ “Snackification” หรือการทานของว่างแทนมื้อหลัก ซึ่งกำลังมาแรงในปัจจุบัน

ผู้บริโภคต้องการเมนูที่มีขนาดพอดีคำ (Bite-size) สะดวกในการรับประทาน แต่ยังคงให้พลังงานเพียงพอที่จะรองท้องได้ในแต่ละช่วงของวัน หลายแบรนด์จึงจับกระแสนี้ด้วยการนำเสนอเมนูแนว Grab & Go ที่ตอบโจทย์ชีวิตแบบพร้อมเดินทาง

ไม่ว่าจะเป็นบาร์ธัญพืช โอนิกิริ สลัดแร็ป หรือแม้แต่เส้นหมี่ไก่ฉีก ล้วนได้รับการออกแบบให้สอดคล้องกับเทรนด์นี้ โดยมักจะมีการชูจุดขายเรื่องวัตถุดิบที่ให้พลังงานสูง มีประโยชน์ต่อสุขภาพ และมาพร้อมกับบรรจุภัณฑ์ที่ออกแบบให้หยิบจับง่าย สะดวกต่อการรับประทาน

เทรนด์ Snackification นี้ เปิดโอกาสทางการตลาดให้ร้านค้าและแบรนด์สามารถเข้าถึงกลุ่มคนเมืองยุคใหม่ที่ให้ความสำคัญกับความสะดวกและคุณค่าทางโภชนาการไปพร้อมๆ กัน

“โปรตีน-ซูเปอร์ฟู้ดฟีเวอร์” กระแสอาหารเพื่อสุขภาพที่ไม่เคยตก

ไลฟ์สไตล์รักสุขภาพยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่องในกลุ่มผู้บริโภคชาวไทย การนำเสนอเมนูที่มีการใช้วัตถุดิบที่มีประโยชน์ต่อร่างกายจึงเป็นเทรนด์ที่ผู้ประกอบการไม่ควรมองข้าม หนึ่งในกระแสที่มาแรงที่สุดคือ “โปรตีนฟีเวอร์”

ข้อมูลจากร้านน้ำผลไม้สเปเชียลตี้อย่าง PASH Juices พบว่า ‘เวย์โปรตีน’ ได้กลายเป็นท็อปปิ้งยอดนิยมอันดับหนึ่งสำหรับเครื่องดื่มสมูทตี้ นอกจากนี้ วัตถุดิบที่อุดมไปด้วยโปรตีนอย่างเต้าหู้ กรีกโยเกิร์ต และถั่วชนิดต่างๆ ก็ได้รับความนิยมอย่างมากในการนำมาประกอบอาหารทั้งคาวและหวาน สอดคล้องกับมูลค่าตลาดของโปรตีนทางเลือกที่มีการเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่องจากปีก่อน

อีกหนึ่งเทรนด์ที่มาแรงควบคู่กันคือ “ซูเปอร์ฟู้ด” นานาชนิด เช่น สาหร่ายสไปรูลิน่า ที่กลายเป็นส่วนผสมสำคัญในสมูทตี้สีฟ้าสุดฮิต หรือ Sea Moss Gel เจลสาหร่ายทะเลสีแดงที่กำลังเป็นกระแสไวรัลในโซเชียลมีเดีย

การเพิ่มเมนูหรือตัวเลือกส่วนผสมเพื่อสุขภาพในรูปแบบที่น่าสนใจและทันสมัย จะเป็นจุดแข็งที่ช่วยให้ร้านอาหารดึงดูดลูกค้ากลุ่มที่ใส่ใจสุขภาพได้อย่างมีประสิทธิภาพ

“Swavory” การผสมผสานรสหวาน-คาวอย่างลงตัว

เทรนด์ “Swavory” หรือการผสมผสานรสชาติหวาน (Sweet) และคาว (Savory) เข้าด้วยกัน กำลังเป็นที่จับตามองในวงการอาหารไทย โดยเฉพาะในส่วนของขนมและเครื่องดื่มที่มีการสร้างสรรค์เมนูทวิสต์ใหม่ๆ ด้วยการเติมคาแรกเตอร์ของรสคาวเข้าไป

ตัวอย่างเมนูที่โดดเด่น เช่น สมูทตี้โบวล์หน้ายำผลไม้สไตล์ไทยรสจัดจ้านอย่าง ‘Yum Fruit Zaap! Bowl’ จากแบรนด์ Acai Story หรือน้ำแข็งใสสไตล์เม็กซิกันที่เพิ่มมิติรสด้วยซอสพริกอย่างเมนู ‘คากิโกริแมงโก้นาดาซอสศรีราชา’ จาก After You

เทรนด์นี้ยังเปิดโอกาสให้แบรนด์จากต่างวงการได้ร่วมมือกันสร้างสรรค์เมนูใหม่ๆ ที่น่าตื่นเต้น เช่นเดียวกับที่เกิดขึ้นในวงการค็อกเทลไทย ที่มีการนำวัตถุดิบอาหารคาวมาผสมผสานในเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เกิดเป็นรสชาติที่แปลกใหม่และน่าค้นหา

การนำเสนอความผสมผสานระหว่างรสเค็มและหวานในสไตล์ไทยๆ ไม่เพียงแต่ช่วยสร้างความแตกต่างในตลาดเท่านั้น แต่ยังช่วยยกระดับวัตถุดิบท้องถิ่นและถ่ายทอดวัฒนธรรมอาหารไทยในมุมมองที่ทันสมัย ดึงดูดทั้งนักชิมชาวไทยและนักท่องเที่ยวต่างชาติที่กำลังแสวงหาประสบการณ์ใหม่ๆ

จับกระแสต่างแดน สร้างจุดเด่นต่อยอดความปัง

ในปีที่ผ่านมา เมนูไวรัลในประเทศไทยส่วนใหญ่ได้รับอิทธิพลมาจากต่างประเทศ โดยมักจะเริ่มต้นจากความนิยมในกลุ่มเล็กๆ ก่อนที่จะขยายวงกว้างกลายเป็นกระแสเมนสตรีมที่ขับเคลื่อนโดยแบรนด์ใหญ่และการแชร์ต่อในโซเชียลมีเดีย จนเกิดเป็นปรากฏการณ์ “Dupe Culture” ในวงการอาหาร

ตัวอย่างเมนูที่โด่งดังในช่วงที่ผ่านมา เช่น สมูทตี้สีฟ้าที่มีส่วนผสมของสาหร่ายสไปรูลิน่า หรือกระแสช็อกโกแลตดูไบที่ฮิตติดลมบนจากการแชร์ในโซเชียลมีเดีย

ในปี 2025 นี้ เทรนด์เมนูจากต่างแดนยังคงมีความร้อนแรงอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะกระแส ‘ชิโอะปัง’ หรือขนมปังเกลือสไตล์ญี่ปุ่น ที่มียอดค้นหาบนแพลตฟอร์ม GrabFood พุ่งสูงขึ้นถึง 66 เท่าในช่วงไตรมาสแรกของปีนี้ รวมถึง ‘ทาร์ตไข่สไตล์ฮ่องกง’ ที่กำลังได้รับความนิยมเช่นกัน

อีกหนึ่งเทรนด์ที่น่าจับตามองคือการกลับมาของ ‘โยเกิร์ตซอฟเสิร์ฟ’ ที่เคยโด่งดังมาก่อนและกำลังจะกลับมาได้รับความนิยมอีกครั้ง ร้านอาหารและแบรนด์ที่สามารถติดตามกระแสและปรับตัวได้อย่างรวดเร็ว จะมีโอกาสสร้างจุดเด่นและเติบโตในตลาดที่มีการแข่งขันสูงได้อย่างมีประสิทธิภาพ

สรุป

เทรนด์อาหารในปี 2025 สะท้อนให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้บริโภคไทยที่พร้อมเปิดรับความแปลกใหม่ มองหาความเซอร์ไพรส์ และต้องการอยู่ในกระแสเสมอ โดยมีโซเชียลมีเดียเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยสร้างกระแส ผลักดันแบรนด์และเมนูให้เป็นที่รู้จักในวงกว้าง

ความสมดุลระหว่างความสะดวกรวดเร็ว ประโยชน์ต่อสุขภาพ และประสบการณ์ที่แปลกใหม่ จะเป็นกุญแจสำคัญสำหรับผู้ประกอบการในการคว้าโอกาสทางธุรกิจท่ามกลางเทรนด์อาหารที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในปัจจุบัน